Toy Story 3 (2010) | ทอย สตอรี่ 3

หลังจากรอคอย 11 ปี “Toy Story 3” กลับมาปิดฉากไตรภาคในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการเล่าเรื่องเรื่องการ “ปล่อยวาง” ที่ทำให้ผู้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ร้องไห้จนน้ำตาแตก จนกลายเป็นหนึ่งใน most emotionally devastating animated films ที่เคยสร้างมา แอนดี้ (จอห์น มอร์ริส) ตอนนี้อายุ 17 ปีแล้ว กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ห้องที่เคยเต็มไปด้วยของเล่นหลากหลายตอนนี้เหลือเพียงแค่ core group ที่รอดผ่านการ “คัดออก” มาได้ ได้แก่ วู้ดดี้ (ทอม แฮงก์ส), Buzz Lightyear (ทิม อัลเลน), Jessie (จอน คิวแซ็ค), Bullseye, Rex, Hamm, Slinky Dog และ Mr. และ Mrs. Potato Head ความเป็นจริงที่โหดร้ายคือแอนดี้ไม่ได้เล่นกับพวกเขามาหลายปีแล้ว พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่นอนเฝ้ารอในกล่องใต้เตียง รอวันที่จะได้ออกมาเล่นอีกครั้ง แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง เมื่อแอนดี้ต้องเก็บข้าวของเพื่อย้ายไปเรียนต่อ ของเล่นทั้งหมดถูกใส่ใน garbage bag โดยไม่ได้ตั้งใจ ยกเว้นวู้ดดี้ที่แอนดี้ยังต้องการเก็บไว้ ด้วยความเข้าใจผิดว่าแอนดี้ต้องการทิ้งพวกเขา ของเล่นกลุ่มนี้จึงตัดสินใจ jump ลงกล่อง donation ที่จะส่งไปยัง Sunnyside Daycare Center สถานรับเลียงเด็กที่ดูเหมือนจะเป็น toy paradise ที่มีเด็กๆ มาเล่นทุกวัน แต่เมื่อไปถึง Sunnyside พวกเขากลับค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดย Lotso (เน็ด บีตตี้) หมีสีชมพูที่มีกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ แต่มีจิตใจมืดมน เขาได้สร้างระบบ totalitarian ที่แบ่งของเล่นออกเป็นชั้นวรรณะ ของเล่นระดับสูงได้อยู่ใน Butterfly Room กับเด็กโต ขณะที่ของเล่นใหม่ต้องไปทนทุกข์ใน Caterpillar Room กับเด็กเล็กที่เล่นแบบทำลายล้าง Lotso เองก็มี tragic backstory ที่ทำให้เขากลายเป็น bitter และ cynical หลังจากถูกเจ้าของแทนที่ด้วยหมีตัวใหม่ เขาจึงเชื่อว่าของเล่นทุกตัวจะถูกทิ้งในที่สุด และสร้าง prison-like environment ที่ Sunnyside เพื่อควบคุมและ manipulate ของเล่นอื่นๆ พันธมิตรของ Lotso ประกอบด้วย Ken (ไมเคิล คีตัน) ตุ๊กตาแฟชั่นที่หลงใหล Barbie แต่ก็เป็น henchman ที่ sadistic และ Big Baby ตุ๊กตาขนาดยักษ์ที่เป็น enforcer ของระบอบการปกครอง การค้นพบว่า Sunnyside เป็นเหมือน toy concentration camp ทำให้พวกเขาต้องวางแผน great escape ขณะเดียวกัน วู้ดดี้ที่พยายามกลับไปหาแอนดี้ได้ไปเจอกับ Bonnie (เอมิลี่ ฮาห์น) เด็กหญิงน้อยที่ยังคงมีจินตนาการและความรักต่อของเล่น เขาได้เล่นกับเธอและรู้สึกถึงความสุขที่เกือบลืมไปแล้ว การได้เป็นของเล่นที่มีคนรักและเล่นด้วยอย่างแท้จริง แต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนๆ ตกอยู่ในอันตราย วู้ดดี้ก็ตัดสินใจกลับไปช่วย นำไปสู่ mission impossible ในการหลบหนีจาก Sunnyside ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและการไล่ล่า รวมถึงฉากที่ระทึกขวัญใน garbage truck และ incinerator ที่เกือบจะเป็นจุดจบของทุกคน ธีมหลักของหนังคือเรื่อง letting go และการยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีวาระ แม้แต่ความรักและความผูกพันที่ดีที่สุดก็ต้องจบลงในวันหนึ่ง การที่แอนดี้เติบโตขึ้นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักของเล่นเหล่านี้ แต่เป็นธรรมชาติของชีวิตที่ต้องเดินหน้าต่อไป การ์ตูนเรื่องนี้จัดการกับ complex emotions อย่าง grief, loss, และ acceptance ในแบบที่ไม่เคยมีในหนังครอบครัวมาก่อน มันทำให้ผู้ชมได้ reflect ถึงของเล่นในวัยเด็กของตัวเอง และความรู้สึกเสียใจที่ต้องโตขึ้นและทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง แอนิเมชันในภาคนี้ถือว่าเป็น state-of-the-art ด้วยการ rendering ที่ photorealistic และ attention to detail ที่น่าทึ่ง ตั้งแต่ texture ของผ้า, plastic, ไปจนถึง particle effects ของฝุ่นและแสง ฉากใน incinerator มีความสมจริงและ intensity ที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้

แนวหนัง:
Animation, Family, Adventure, Drama, Coming-of-Age, Trilogy Conclusion