Tokyo Sonata (2008) | วันที่หัวใจซ่อนเจ็บ

ในยุคที่ Japanese cinema กำลังได้รับการยอมรับในเวทีโลกมากขึ้น “Tokyo Sonata” กลายเป็นผลงานที่ทำให้ Kiyoshi Kurosawa ซึ่งมีชื่อเสียงจากหนัง J-Horror ก้าวข้ามแนวที่เขาเชี่ยวชาญมาสู่ family drama ที่ลึกซึ้งและน่าสะเทือนใจ โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาในการสร้างบรรยากาศแปลกแยกและความโดดเดียวเอาไว้ได้อย่างงดงาม เรื่องราวเกิดขึ้นท่ามกลางพายุเศรษฐกิจโลกปี 2008 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสังคมญี่ปุ่น ภาพยนตร์ติดตามครอบครัว Sasaki ชาวชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ริมรางรถไฟในโตเกียว ซึ่งประกอบด้วย Ryūhei (Teruyuki Kagawa) พ่อบ้านที่ทำงานเป็น salaryman, Megumi (Kyōko Koizumi) แม่บ้านที่อุทิศชีวิตให้กับครอบครัว, Takashi (Yū Koyanagi) ลูกชายคนโตวัย 18 ปีที่กำลังสับสนกับอนาคต และ Kenji (Kai Inowaki) ลูกชายคนเล็กวัยม.ต้นที่มีความฝันลับๆ ทุกอย่างเปลี่ยนไปในวันที่ Ryūhei ถูกไล่ออกจากงานในตำแหน่ง “administrator” เพราะบริษัทตัดสินใจย้ายแผนกทั้งหมดไปจ้างแรงงานราคาถูกในจีน ขณะนั่งฟังข่าวร้ายในห้องประชุม เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินว่างานที่เขาทุ่มเทมาหลายปีกลายเป็นเพียงตัวเลขในสเปรดชีตที่สามารถถูกลบทิ้งได้ง่ายๆ สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือความอับอายและความรู้สึกผิดที่ทำให้ Ryūhei ไม่สามารถบอกความจริงกับครอบครัวได้ ในสังคมญี่ปุ่นที่การมีงานทำถือเป็นเกียรติยศและหน้าที่ของผู้ชาย การสูญเสียงานไม่ได้หมายถึงเพียงการสูญเสียรายได้ แต่หมายถึงการสูญเสียตัวตนและศักดิ์ศรีในฐานะหัวหน้าครอบครัว ทุกเช้า Ryūhei ยังคงแต่งตัวในชุดสูทและแกล้งทำเป็นออกไปทำงานตามปกติ แต่แทนที่จะไปสำนักงาน เขากลับใช้เวลาตลอดวันในการต่อคิวรับอาหารฟรีที่ Hello Work Center สำนักงานจัดหางานของรัฐ หรือนั่งเศร้าๆ ในสวนสาธารณะที่รกร้างข้างๆ ไซต์ก่อสร้าง ความเหงาและความสิ้นหวังของเขาสะท้อนผ่านภาพ salaryman นับพันคนที่เดินไปมาเหมือนผีดิบในถนนโตเกียว โดยบังเอิญ Megumi ได้เห็นสามีของเธอกำลังกินข้าวกล่องฟรีในสวนสาธารณะ เธอเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยความรักและความเข้าใจในศักดิ์ศรีของสามี เธอจึงเลือกที่จะไม่ถามหรือบังคับให้เขาบอกความจริง แทนที่จะเป็นการปลอบใจ การที่ทั้งคู่รู้ความจริงแต่ไม่พูดถึงกลับทำให้บรรยากาศในบ้านหดหู่และตึงเครียดขึ้น การสูญเสียงานทำให้ Ryūhei สูญเสียอัตลักษณ์และจุดยืนในครอบครัว เขาเริ่มใช้อำนาจแบบเผด็จการกับลูกชายทั้งสองเพื่อยืนยันสถานะของตัวเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว แต่ยิ่งเขาพยายามควบคุม ลูกๆ ก็ยิ่งห่างเหินและกบฏขึ้น Takashi ลูกชายคนโตเริ่มรู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตในญี่ปุ่น เขาตัดสินใจสมัครเข้าโปรแกรมทหารอเมริกันที่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้าร่วมเพื่อไปรบในอิรัก แม้จะเป็นโปรแกรมที่ไม่มีจริง (จุดเดียวในหนังที่ Kurosawa ออกนอกเส้นจากความเป็นจริง) แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวังของเยาวชนญี่ปุ่นที่รู้สึกว่าไม่มีอนาคตในประเทศตัวเอง ขณะเดียวกัน Kenji ลูกชายคนเล็กก็มีความลับของตัวเอง เขาใช้เงินซื้อข้าวกลางวันไปจ่ายค่าเรียนเปียโนอย่างลับๆ หลังจากที่พ่อปฏิเสธไม่ให้เขาเรียน วันหนึ่งขณะเดินกลับจากโรงเรียน เขาได้ยินเสียงเปียโนดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง เสียงดนตรีนั้นทำให้เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความงดงามและอิสรภาพที่เขาปรารถนา การเรียนเปียโนของ Kenji กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและศิลปะในท่ามกลางความสิ้นหวังของครอบครัว ครูสอนเปียโนของเขาเห็นพรสวรรค์และจิตวิญญาณของเด็กคนนี้ จึงสนับสนุนให้เขาไปสมัครเข้าโรงเรียนดนตรี เมื่อความจริงเรื่องงานของ Ryūhei เปิดออกมา ครอบครัวก็เริ่มแตกสลาย แต่ละคนต่างมีวิกฤตและความลับของตัวเอง Megumi เริ่มตั้งคำถามกับบทบาทของเธอในฐานะแม่บ้าน และใฝ่ฝันว่า “น่าจะดีแค่ไหนถ้าชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน และเธอจะตื่นขึ้นมาเป็นคนใหม่อย่างสิ้นเชิง” ภาพยนตร์เข้าสู่ช่วงที่มืดมนและ surreal มากขึ้นเมื่อสมาชิกครอบครัวแต่ละคนต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้าย Kurosawa ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนจาก analytic realism ไปสู่ hallucinatory subjectivity ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังเฝ้าดูครอบครัวหนึ่งค่อยๆ จมลงในความสิ้นหวัง แต่ท่ามกลางความมืดมน ศิลปะกลายเป็นแสงสว่างเดียวที่ให้ความหวัง เมื่อ Kenji ได้โอกาสแสดงเปียโนในการแข่งขันเข้าโรงเรียนดนตรี เขาเลือกเล่นบทเพลง “Clair de Lune” ของ Debussy ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในฉากที่งดงามและซาบซึ้งที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ Kurosawa ถ่ายทอดการแสดงเปียโนของ Kenji ด้วยการใช้มุมกล้องเพียงหกจุด แต่ทุกครั้งที่มุมกล้องเปลี่ยน ผู้ชมจะรู้สึกถึงแสงสว่าง การจัดเฟรม การที่ลมหลับใบผ้าม่าน และจังหวะการหายใจของตัวเอง เสียงเปียโนที่ใสและไพเราะเปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาๆ ให้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ การแสดงเปียโนของ Kenji ไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนในโรงเรียนต้องตะลึง แต่ยังกลายเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัว Sasaki ได้มารวมตัวกันและเห็นความงดงามที่เหลืออยู่ในชีวิต แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างเปิดเผย แต่เสียงดนตรีได้พูดแทนสิ่งที่คำพูดไม่สามารถสื่อได้ การแสดงของ Teruyuki Kagawa ในบท Ryūhei ได้รับการยกย่องว่าเป็นการแสดงที่ crystallize ความรู้สึกของการสูญเสียการควบคุม ทุกสีหน้าของเขาเผยให้เห็นความกลัวที่ซ่อนอยู่ Kyōko Koizumi ในบท Megumi แสดงความเข้มแข็งและความอ่อนแอของผู้หญิงที่ต้องรักษาครอบครัวเอาไว้ท่ามกลางวิกฤต ภาพถ่ายโดย Akiko Ashizawa สร้างบรรยากาศของโตเกียวที่เย็นชา sterile และ confined ไม่มีแสงนีออนและความคึกคักของ Shibuya หรือความหรูหราของ Ginza แต่เป็นโตเกียวของคิวหางาน ค่ายคนไร้บ้าน และความเศร้าโศกของชนชั้นกลางที่กำลังล่มสลาย เสียงประกอบในหนังใช้ความเงียบและเสียงธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้เมื่อเสียงเปียโนดังขึ้นมันจึงมีพลังที่ทรงพลังยิ่งขึ้น การใช้ “Clair de Lune” ของ Debussy ไม่เคยถูกใช้ในภาพยนตร์ได้ดีเท่านี้มาก่อน “Tokyo Sonata” เป็นมากกว่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่เผชิญวิกฤต มันเป็น meditation เรื่องความหมายของความเป็นชาย ความเปลี่ยนแปลงของสังคม และพลังของศิลปะในการรักษาจิตวิญญาณมนุษย์ Kurosawa ได้สร้างผลงานที่เป็น “visually lyrical, narratively Fassbinderesque” และเป็นการผสมผสานระหว่าง The Merchant of Four Seasons และ In a Year of 13 Moons

แนวหนัง:
Drama, Family Drama, Social Realism, Art House, Japanese Cinema